26 กรกฎาคม 2568 (วันที่สามของการปะทะ)
- 02:00 น. – เครื่องบินเจ็ตส่วนตัวของฮุนเซน ลงจอดที่สิงคโปร์ (หลังจากบินไปอินโดนีเซีย)
- 05:00 น. – (ตามที่พระศักดา สุนทโร และแม่ค้าหมูปิ้งรายงาน) ได้ยินเสียงปืนใหญ่และระเบิดดังขึ้น แสงไฟวาบจากภูเขาบรรทัด ชาวบ้านเห็นแสงไฟหลายลูกลอยอยู่กลางอากาศ
- 05:10 น. – กองทัพเรือเปิดยุทธการ “ตราดพิฆาตไพรี 1” ตอบโต้การโจมตีของทหารกัมพูชาในพื้นที่บ้านชำราก จังหวัดตราด
- 05:40 น. – กองกำลังทหารเรือสามารถผลักดันทหารกัมพูชาให้ถอยร่นออกจากพื้นที่ได้สำเร็จ
- 08:30 น. – เสียงปืนใหญ่ในพื้นที่ตราดเงียบลง
- 09:00 น. – ชาวกัมพูชาร่วมหมื่นคนเดินทางกลับประเทศจากจุดผ่านแดนถาวรบ้านแหลม จันทบุรี เนื่องจากสถานการณ์ตึงเครียด
- 09:20 น. – ทหารไทยปักธงชาติไทยบนยอดภูมะเขือได้สำเร็จ (กองทัพภาคที่ 2 รายงาน)
- 09:00 น. – 15:00 น. – การเคลียร์พื้นที่ 10% ที่เหลือบนภูมะเขือ รวมถึงทำลายฐานที่มั่น กระเช้า เสาเรดาร์ และบันไดเหล็กของกัมพูชา (เสร็จสิ้น 100% ตามรายงานช่วงบ่าย)
- 11:00 น. – รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ (มาริษ เสงี่ยมพงษ์) แถลงข่าวเกี่ยวกับสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชาที่สหประชาชาติและพบปะผู้แทนระดับสูงหลายประเทศ ยืนยันว่ากัมพูชาเป็นฝ่ายเริ่มก่อน
- 12:00 น. – ด่านผ่านแดนถาวรบ้านแหลมฝั่งไทย (จันทบุรี) ปิดประตูใหญ่และกลับไปใช้ประตูเล็กตามเดิม เนื่องจากจำนวนชาวกัมพูชาที่เดินทางกลับลดลง
- 12:00 น. – กองทัพภาคที่ 2 แถลงการณ์สรุปสถานการณ์สู้รบ ระบุว่ามีพื้นที่ที่ยังปะทะอย่างต่อเนื่อง 7 จุด (ช่องบก, ช่องอานม้า, ซำแต, ช่องตาเฒ่า, ภูมะเขือ, ปราสาทตาควาย, กลุ่มปราสาทตาเมืองธม) และมีการอพยพประชาชนแล้วกว่า 88,038 คน ใน 4 จังหวัดชายแดน
- 12:00 น. (ตามข้อมูลจากสุรินทร์) – เสียงการปะทะดังขึ้นอีกครั้งหลังจากเงียบไป 16 ชั่วโมง
- 12:21 น. – อำเภอพนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์ แจ้งห้ามเข้าพื้นที่โดยเด็ดขาด เนื่องจากปืนใหญ่ BM21 ของเขมรลงพื้นที่
- 13:30 น. – นายกรัฐมนตรี (แพทองธาร ชินวัตร) แถลงข่าวเกี่ยวกับมาตรการรับมือและช่วยเหลือเหตุการณ์ชายแดน เน้นย้ำว่ากัมพูชาเป็นฝ่ายเริ่มความรุนแรง 100%
- ช่วงบ่าย – F-16 และ Gripen อย่างละ 2 ลำ ของไทย ออกปฏิบัติการโจมตีพื้นที่เป้าหมายทางทหารของกัมพูชาบริเวณภูมะเขือและปราสาทตาเมืองธม ภารกิจสำเร็จลุล่วงและเครื่องบินกลับฐานอย่างปลอดภัย
- 15:00 น. – พลเรือตรี ขวัญชัย ขำสม แถลงชี้แจงข่าวลือทหารเหยียบกับระเบิดที่ตราดว่าไม่เป็นความจริง แท้จริงแล้วทหาร 3 นายได้รับบาดเจ็บเล็กน้อยจากอุบัติเหตุรถพลิกคว่ำขณะปฏิบัติหน้าที่
- 15:17 น. – เสียงปืนใหญ่ยังดังต่อเนื่องที่กันทรลักษ์ ศรีสะเกษ
- กองทัพภาคที่ 2 เผยอาวุธที่ยึดได้จากกัมพูชาบนภูมะเขือ 11 รายการ และโทรศัพท์มือถือ 7 เครื่อง
- หน่วยงาน DE สั่งสแตนบาย 24 ชั่วโมง เพื่อรับมือแฮกเกอร์กัมพูชาที่จ้องโจมตีเว็บไซต์ไทย
- สระแก้วต้องการเลือดด่วน (โรงพยาบาลอรัญญประเทศและโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชสระแก้ว)
- พลตรี ดวง ซอมเนียง ผู้บัญชาการกองพล 7 กัมพูชา เสียชีวิตจากการปะทะแย่งชิงพื้นที่ภูมะเขือและช่องตาเฒ่า
- เรือนจำกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ จำเป็นต้องย้ายผู้ต้องขังประมาณ 1,300 คน ไปยังเรือนจำอื่น 14 แห่ง เพื่อความปลอดภัย
- จับกุมสายลับชาวกัมพูชาได้ 2 รายที่อำเภอละหานทราย บุรีรัมย์ พร้อมหลักฐานการถ่ายภาพและลงพิกัดในช่องทางแชท
สรุปสถานการณ์ความขัดแย้งชายแดนไทย-กัมพูชา (26 กรกฎาคม 2568)
สถานการณ์ความขัดแย้งบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่จังหวัดตราด จันทบุรี สระแก้ว สุรินทร์ ศรีสะเกษ และอุบลราชธานี ยังคงตึงเครียดและมีการปะทะกันอย่างต่อเนื่องเป็นวันที่สาม โดยฝ่ายไทยยืนยันหนักแน่นว่ากัมพูชาเป็นฝ่ายเริ่มต้นโจมตีและละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศอย่างร้ายแรง ขณะที่กองทัพไทยตอบโต้อย่างมีประสิทธิภาพเพื่อปกป้องอธิปไตยและพลเรือน
1. สถานการณ์การปะทะและปฏิบัติการทางทหาร
- การเริ่มต้นการโจมตี: ไทยยืนยันว่า “กัมพูชาเป็นฝ่ายริเริ่มยิงการกระทำที่เป็นที่ ที่ในศัพท์ที่เรียกว่า aggression คือเปิดฉากยิงประเทศไทยก่อน” โดยเริ่มต้นตั้งแต่เช้ามืดวันที่ 24 ก.ค. และต่อเนื่องมาถึงวันที่ 26 ก.ค. เวลาประมาณ 05:10 น. ในพื้นที่บ้านชำราก อ.เมืองตราด
- การโจมตีเป้าหมายพลเรือน: กัมพูชาโจมตีสถานที่ที่ไม่ใช่เป้าหมายทางทหารอย่างต่อเนื่อง เช่น โรงพยาบาล ปั๊มน้ำมัน ร้านสะดวกซื้อ และหมู่บ้าน ทำให้พลเรือนไทยเสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก โดยเฉพาะกรณีเด็กชายวัย 8 ขวบเสียชีวิต “ยิ่งที่น่าเศร้ามากที่สุดเนี่ย ก็คือทำให้เด็กอายุเพียง 8 ขวบ ต้องเสียชีวิต” กระทรวงการต่างประเทศระบุว่าการกระทำนี้ “ละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศ กฎบัตรของ UN และกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศอย่างร้ายแรง”
- การตอบโต้ของไทย: กองทัพไทยได้เปิดยุทธการ “ตราดพิฆาตไพรี 1” และ “จักรพงษ์ภูวนาถ 681 ทบ” โดยกองทัพเรือสามารถผลักดันทหารกัมพูชาที่รุกล้ำเข้ามาในเขตแดนไทย 3 จุดในจังหวัดตราดจนถอยร่นออกไปได้สำเร็จภายในเวลาเพียง 30 นาที และไม่มีฝ่ายไทยได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิต นอกจากนี้ กองทัพไทยยังได้ใช้เครื่องบินขับไล่ F-16 และ Gripen จำนวนรวม 4 ลำเข้าโจมตีฐานยิงจรวดและค่ายทหารของกัมพูชาบริเวณภูมะเขือและปราสาทตาเมือนธม โดยเน้นเป้าหมายทางทหารเท่านั้น และภารกิจสำเร็จลุล่วงด้วยดี
- การวางกำลังและยึดพื้นที่: กองทัพไทยยังคงตรึงกำลังทางบกและทางน้ำตลอดแนวชายแดน และสามารถยึดพื้นที่ภูมะเขือกลับคืนมาได้ 100% รวมถึงทำลายสิ่งปลูกสร้าง เช่น กระเช้า บันได และเสาเรดาร์ของกัมพูชาที่รุกล้ำเข้ามา
- สถานการณ์ในพื้นที่:ตราด: มีการปะทะกันรุนแรงในช่วงเช้ามืด แต่สถานการณ์โดยทั่วไปอยู่ในภาวะปกติ ประชาชนส่วนใหญ่กว่า 60% อพยพออกนอกพื้นที่แล้ว
- สุรินทร์: เสียงปืนเงียบไป 16 ชั่วโมง แต่กลับมาดังขึ้นอีกครั้งในช่วงเที่ยงวัน การปะทะยังคงดำเนินไปอย่างต่อเนื่องแม้มีฝนตกหนัก
- ศรีสะเกษ: พื้นที่กันทรลักษ์ยังคงระอุ มีเสียงปืนใหญ่ดังอย่างต่อเนื่อง โรงพยาบาลกันทรลักษ์ถูกลือว่าโดนโจมตี แต่ภายหลังยืนยันว่าไม่เป็นความจริง และสถานการณ์ยังปกติ
- สระแก้ว: กองทัพไทยผลักดันทหารกัมพูชาออกจาก 4 พื้นที่ที่รุกล้ำเข้ามาได้สำเร็จและตรึงกำลังไว้แล้ว แต่ยังคงเป็นพื้นที่เสี่ยงที่ต้องเฝ้าระวัง
2. การละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศและมนุษยธรรม
- การใช้พลเรือนเป็นโล่มนุษย์: กองทัพบกไทยเปิดเผยหลักฐานว่าทหารกัมพูชา “ใช้พลเรือนของตัวเองเป็นโล่มนุษย์” โดยการตั้งฐานยิงอาวุธ เช่น BM-21 และ RM-70 ใกล้กับพื้นที่ชุมชนและถนน ซึ่งเป็นอาวุธที่ “ขาดความแม่นยำ” และอาจทำให้พลเรือนเสียชีวิต
- การวางทุ่นระเบิดใหม่: มีหลักฐานว่ากัมพูชา “วางทุ่นระเบิดใหม่” ในดินแดนอธิปไตยของไทย ทำให้ทหารไทย 2 นายบาดเจ็บสาหัสและสูญเสียอวัยวะ ซึ่งถือเป็นการละเมิดอนุสัญญาออตตาวา
- การโจมตีสิ่งปลูกสร้างพลเรือน: กัมพูชาถูกกล่าวหาว่าโจมตีและทำลาย “เจดีย์ ศูนย์สุขภาพ ปั๊มน้ำมัน ตลาด หมู่บ้าน และปราสาทพระวิหาร” (ซึ่งไทยยืนยันว่าเป็นข่าวปลอมเรื่องปราสาทพระวิหาร เพราะอยู่ห่างจากจุดปะทะ 2 กม.)
- การอพยพประชาชน: กัมพูชาอ้างว่าได้อพยพพลเรือนกว่า 35,829 คนในจังหวัดพระวิหาร อุดรมีชัย และโพธิสัตว์ ส่วนไทยได้อพยพประชาชนกว่า 88,000 คนใน 4 จังหวัดชายแดน (บุรีรัมย์ สุรินทร์ ศรีสะเกษ อุบลราชธานี) ไปยังศูนย์พักพิง
- กระสุนตกใส่ สปป.ลาว: มีรายงานว่ากระสุนปืนใหญ่ของกัมพูชา 10 นัดตกลงในดินแดน สปป.ลาว ทำให้บ้านเรือนเสียหาย ไทยได้แสดงความเสียใจและยืนยันว่าไม่ใช่กระสุนจากกองทัพไทย โดยไทยระมัดระวังอย่างยิ่งที่จะไม่กระทบเป้าหมายที่ไม่ใช่ทางทหาร
3. ปฏิสัมพันธ์ระหว่างประเทศและการประชาสัมพันธ์
- การประชุม UNSC: คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (UNSC) ได้จัดการประชุมแบบปิดเพื่อหารือสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา โดยมี 15 ประเทศสมาชิก รวมถึงไทยและกัมพูชาเข้าร่วม ฝ่ายไทยยืนยันว่ากัมพูชาเป็นฝ่ายเริ่มยิงและโจมตีเป้าหมายพลเรือนอย่างต่อเนื่อง UNSC เรียกร้องให้ทั้งสองฝ่ายใช้ความยับยั้งชั่งใจ ลดความตึงเครียด และแก้ไขปัญหาอย่างสันติวิธี รวมถึงสนับสนุนบทบาทของอาเซียน อย่างไรก็ตาม UNSC “ไม่ได้มีมติหรือออกเอกสารใดๆ”
- บทบาทอาเซียน: ไทยเห็นด้วยกับข้อเสนอของนายกรัฐมนตรีมาเลเซียในฐานะประธานอาเซียนที่จะให้มีการเจรจาหยุดยิง “แต่กัมพูชาจะต้องแสดงความจริงใจอย่างชัดเจน” และหยุดการโจมตีพื้นที่พลเรือน
- ข่าวปลอม (Fake News): กัมพูชาถูกกล่าวหาว่าเผยแพร่ข่าวปลอมจำนวนมาก เช่น อ้างว่าทำลายเครื่องบิน F-16 และรถถังของไทยได้ อ้างว่าไทยโจมตีปราสาทพระวิหาร หรืออ้างว่าทหารไทยทิ้งเครื่องแบบหนี ซึ่งล้วนเป็นข่าวที่ไม่มีหลักฐานและไม่เป็นความจริง
- การบินของฮุนเซน: ฮุนเซนบินออกจากกัมพูชาตั้งแต่เกิดการปะทะครั้งแรก และเดินทางไปหลายประเทศในเอเชีย (เกาหลีใต้ ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ อินโดนีเซีย) โดยไม่ได้อยู่ในประเทศเพื่อบัญชาการรบ ซึ่งสวนทางกับการประชาสัมพันธ์ของฝ่ายกัมพูชาเอง
- ความเห็นของสื่อต่างชาติ: สื่อเกาหลีใต้ตั้งข้อสังเกตว่านักเรียนไทยในจังหวัดชายแดนยังไปโรงเรียนตามปกติในวันที่เกิดเหตุ ขณะที่นักเรียนกัมพูชาถูกสั่งให้หยุดเรียน ซึ่งบ่งชี้ว่าไทยไม่ได้เตรียมการโจมตีก่อน
4. ผลกระทบต่อประชาชนและความช่วยเหลือ
- การอพยพ: ประชาชนจำนวนมากในจังหวัดชายแดนต้องอพยพไปยังศูนย์พักพิงชั่วคราว มีการจัดตั้งโรงครัวพระราชทานเพื่อประกอบอาหาร และมีการร้องขอให้บริจาคโลหิตในบางพื้นที่ (เช่น สระแก้ว)
- ขวัญกำลังใจทหาร: มีการแสดงออกถึงความภาคภูมิใจและให้กำลังใจทหารไทยอย่างกว้างขวาง เช่น เด็กๆ ในบุรีรัมย์โบกธงชาติไทยให้ขบวนรถทหาร
5. การแถลงของนายกรัฐมนตรี (รักษาการ)
- ประณามการกระทำของกัมพูชา: “เราถือว่าเป็นอาชญากรรมสงครามขั้นรุนแรง” และ “ขัดต่อหลักสันติวิธี ของกฎหมายระหว่างประเทศ และขัดในหลักของเรื่องมนุษยธรรมด้วย”
- ยืนยันว่าไทยไม่ได้เริ่มก่อน: “เมื่อความรุนแรงมาถึงเราเองก็สู้ไม่ถอยเช่นกัน” และยืนยันว่า “ความรุนแรงนี้เป็นการถูกเริ่มโดยกัมพูชา 100%”
- การปราบคอลเซ็นเตอร์: นายกรัฐมนตรี (รักษาการ) เชื่อว่าเหตุการณ์ความขัดแย้งอาจเกี่ยวกับการที่ไทยปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์อย่างจริงจัง ซึ่งกัมพูชาอาจ “เสียผลประโยชน์”
สถานการณ์ยังคงเป็นไปอย่างไม่แน่นอน กองทัพไทยยังคงพร้อมรับมือทุกสถานการณ์และเน้นย้ำความสำคัญของการปกป้องอธิปไตยและชีวิตของประชาชนไทยเป็นสำคัญ
